2552-08-28

ความรักของวงกลมและสามเหลี่ยม

หลายคนคงกำลังค้นหา “คนที่ใช่” ของตัวเองกันอยู่ใช่ไหมจ๊ะ ถ้างั้นล่ะก็ ต้องมาดู “ความรักของวงกลมและสามเหลี่ยม” ก่อนเลย


เรื่องเล่าของวงกลม ...
นานมาแล้ว ... มีวงกลมอยู่วงหนึ่ง เศษเสี้ยวหนึ่งของมันหายไป




มันกลิ้งไป ... กลิ้งไป ตามหาเศษเสี้ยวที่หายไปนั้น มันเจอผู้คนมากมาย แต่ไม่มีใครเลย ที่จะเติมเต็มมันได้




บางที .. ก็ใหญ่เกินไป ถ้าฝืน ... ก็จะเจ็บทั้งสองฝ่าย




บางที ... คิดว่าเข้ากันได้ แต่พอจะก้าวไปข้างหน้า ... ถึงได้รู้ว่า "ไปด้วยกันไม่ได้"




บางที ... เศษเสี้ยวมีหนามแหลมคม กว่าจะรู้ตัวว่า "ไม่ใช่" ก็ได้ทิ้งบาดแผลและความเจ็บปวดมากมายไว้ให้เจ้าวงกลม



มันยังกลิ้งไป ... กลิ้งไป จนในที่สุด ... ก็ได้พบเศษเสี้ยวของมัน




แล้ววงกลม ... ก็เต็มวง



ถ้าเรื่องมันจบแฮปปี้ยังงี้ก็ดีเนอะ ลองมาฟังนิทานอีกเรื่อง ...


เรื่องเล่าของสามเหลี่ยม


ยังจำเศษเสี้ยวของวงกลมนั้นได้ไหม?

เสี้ยวรูปสามเหลี่ยม... กำลังตามหาวงกลมของมัน


มันกลิ้งไป ...

กลิ้งไป



พบคนมากมาย ...

แต่ไม่มีใครเลย ...ที่เป็นที่ของมัน




นี่ก็ไม่ใช่ ... นั่นก็ยังไม่ใช่



พอเจอคนที่คิดว่าใช่ ...

กลับพบว่า เขามีส่วนเติมเต็มของเขาอยู่ แล้ว



สามเหลี่ยม ... กลิ้งไป ... กลิ้งไป ...กลิ้งไป ... กลิ้งไป จนขอบของมันเริ่มมนลง




ในที่สุดสามเหลี่ยมนั้น กลายเป็นวงกลม

และพบว่าตัวเอง สามารถกลิ้งไปได้ด้วยตัวของมันเอง ... โดยไม่ต้องการให้ใครมาเติมเต็ม ...




“ความรัก” มันมีทั้งสมหวัง และ ผิดหวัง

ดังนั้น จึงควรที่จะเผื่อใจยอมรับสิ่งต่างๆ ไว้บ้าง

และควรที่จะให้ความสำคัญกับการเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง

เพราะความรู้ที่เราได้จะอยู่ติดตัวเราไปตลอด และมันก็จะไม่ทอดทิ้งเราแน่นอน



เครดิตจาก : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=16733 <พี่ปัด>

Read More

กว่าจะมาเป็น "น้ำยาลบคำผิด"

เคยสงสัยไหมคะว่า “น้ำยาลบคำผิด” หรือ “correcting fluid” ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง มาจากที่ไหน และใครเป็นคนคิดค้นขึ้นเป็นคนแรก … ไปหาคำตอบกันค่ะ




เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า อนงค์นางหนึ่งมีนามว่า นางเบ็ต เนสมิธ เกรแฮม (Bette Nesmith Graham) ทำงานในหน้าที่เลขานุการเวลาที่เธอพิมพ์งานผิด เธอต้องเจอกับปัญหาการพิมพ์ผิดซึ่งเธอใช้ยางลบดินสอเป็นตัวช่วยลบทำให้การทำงานทั้งล่าทั้งช้าและไม่เรียบร้อย ต่อมามีเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าออกมาใช้ คราวนี้เธอเผชิญปัญหาหนักกว่าเก่า เพราะไม่สามารถใช้ยางลบดินสอลบทำผิดได้อีกต่อไป ต้องพิมพ์ใหม่สถานเดียว


กว่าจะมาเป็น "น้ำยาลบคำผิด"

เมื่อต้องประสบกับปัญหานี้อยู่บ่อยครั้งเธอจึงหาทางแก้ไขปัญหานี้ด้วยการประดิษฐ์น้ำยาลบคำผิดขึ้นมา ในปี ค.ศ.1950 เธอก็ค้นพบวิธีทำน้ำยาลบหมึกแบบง่าย เพียงใช้สีน้ำสีขาวบรรจุลงในขวดน้ำยาทาเล็บ ใช้พู่กันป้ายสีน้ำสีขาวลงบนกระดาษ แค่ก็สามารถลบคำผิดได้และพิมพ์ซ้ำทับได้แนบเนียน ใช้ง่าย รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้อย่ามีประสิทธิภาพ

ความนิยมเริ่มเกิดขึ้นเมื่อบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอเห็นเช่นนั้น ก็ขอน้ำยาลบหมึกของเธอมาใช้กันบ้าง และนี้ก็คือจุดกำเนิดน้ำยาป้ายคำผิด correcting fluid


ต่อมาเมื่อมีความต้องการน้ำยาป้ายคำผิดมากๆ นางเกรแฮมจึงพัฒนาสีน้ำสีขาวและทำการผลิตที่บ้านออกจำหน่าย ด้วยการผสมสีขาวลงในเครื่องปั่น กรอกใส่ขวดยาทาเล็บ เป็นอุสาหกรรมครอบครัวยาวนานถึง 17 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1979 เธอได้ขายกิจการให้บริษัทยิลเล็ต (Gillette) ในราคาที่สูงถึง 47.5 ล้านดอลลาร์ โดยสามารถผลิตน้ำยาลบคำผิดได้ถึง 25 ล้านขวด ออกจำหน่ายไปทั่วโลก

จากปัญหาเล็กๆ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้ ช่างเป็นไอเดียที่น่าชื่นชมจริงๆ เลยนะคะ ขอยกนิ้วให้เลย!!!



เครดิตจาก : http://www.dek-d.com/content/view.php?id=16834 <พี่มะเหมี่ยว>

Read More

เรื่องลี้ลับในสถาบัน : บนตึกเรียน




เรื่องราวชวนขนหัวลุกส่งตรงมาจาก น้องสมฤทัย หนึ่งในแฟนคลับของเว็บเด็กดีดอทคอม ที่จะมาบอกเล่าเหตุการณ์ชวนสยอง ในโรงเรียนตนเอง !

โรงเรียนแห่งนี้เป็นสถาบันการศึกษาเอกชนบนถนนสุขุมวิท เปิดสอนทั้งสายสามัญ และสายอาชีพ โดยมีสีประจำสถาบันคือสีม่วง
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อประมาณหลายปีก่อนมีนักเรียนสายอาชีพ ปวช.ปี 3 มีปัญหาความรักจึงตัดสินใจคิดสั้นกระโดดตึกลงมา ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็น นักเรียนที่ยังไม่กลับบ้าน และได้เห็นเหตุการณ์ต่างเล่าให้ฟังว่า “ร่างของพี่คนนั้นตกลงมากระแทกกับตระแกรงปิดฝาท่อเหล็กจนแตก”

นักเรียนที่อยู่บริเวณนั้นที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกใจ และส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ขณะที่บางคนก็รีบวิ่งไปบอกครูเวรให้มาดู เพื่อนำพี่เค้าไปส่งโรงพยาบาล แต่เหมือนจะสายเกินไป เพราะนักเรียนคนนั้นได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว


จากวันนั้นเป็นต้นมา ช่วงเวลา 4 โมงเย็นก็มักไม่ค่อยมีนักเรียนอยู่บริเวณนั้นอีกเลย หากไม่จำเป็น เพราะบรรยากาศจะเงียบสงัด และวังเวงมากๆ จนกระทั่งวันหนึ่งมีนักเรียนหอ 2 คนเดินมากดเงินที่ตู้ ATM บริเวณนั้นตอนดึกๆ


หลังจากกดเงินเสร็จ ได้เผลอมองขึ้นไปด้านบนดึก และได้เจอกับรุ่นพี่คนนั้นที่เสียชีวิตไป กำลังนั่งแกว่งขาไปมาอยู่ บริเวณด้านบนด้วยสีหน้าหมองเศร้า และเสื้อผ้าที่ใส่ก็ฉีดขาดไม่มีสภาพชิ้นดีเหลืออยู่เลย !!!



เครดิตจาก : http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16842/เรื่องลี้ลับในสถาบัน-บนตึกเรียน.htm <พี่ลาเต้>

Read More

กาลครั้งหนึ่งนอนมาแล้ว




หนุ่มๆ ที่รู้สึกว่าคาบเรียนบ่าย ทำไมถึงชวนฝันอย่างนี้นะ ยิ่งเป็นวิชาคณิตศาสตร์ พระพุทธศาสนาด้วยแล้ว โต๊ะแข็งๆ ก็แปลงเป็นหมอนนุ่นๆ ได้ อาการง่วงหลังมื้อกลางวัน อาจเป็นเพราะเรากินอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตมากไป ในตอนเช้า และการนอนไม่พอจะทำให้ยิ่งง่วงเข้าไปอีก

แก้ไขโดย
อย่างแรกนอนให้พอ ต่อมาคือลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรต ถ้ากลัวไม่อิ่มลองเพิ่มผัก ผลไม้ เข้าไปในมื้อเช้าด้วย เพราะจะทำให้พอถึงมื้อเที่ยง เราจะไม่กินเยอะ และยังไม่หลับคาโต๊ะเรียนด้วย





ตื่นเช้าไปก็เป็นปัญหาได้ ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกบ่อยๆ บางคนคิดว่าเป็นเรื่องดี แต่กลับตรงกันข้าม คนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ จะตื่นเมื่อถูกรบกวนแค่นิดเดียว แล้วจะรู้สึกไม่สดชื่นในยามเช้า และที่คุณตื่นก่อนเวลานาฬิกาปลุก อาจเป็นเพราะมีเสียงอะไรมาทำให้คุณตื่นก็ได้ ขณะเดียวกันก็ตาสว่างจนนอนต่อไม่ได้แล้ว ส่งผลอย่างยิ่งต่อการเสื่อสุขภาพ

แก้ไขโดย
หากหนุ่มๆ ลดบริโภคคาเฟอีนในกาแฟ หรือชา แล้วยังไม่หาย นายแพทย์ วินเทอร์ ผุ้อำนวยการ ด้านการแพทย์ประจำศูนย์เวชศาสตร์การนอนหลับ การเข้านอนกว่าปกติสักชั่วโมง อาจช่วยให้ร่างกายคุณตื่นในเวลาพอดีได้





การออกกำลังกายมากๆ แล้วจะนอนหลับสบาย อาจไม่ถูกต้อง 100% การออกกำลังกายช่วยให้หลับได้ดีจริง แต่การออกกำลังกายตอนดึก ทำให้เสี่ยงต่อการหลับไม่ลงได้ แพทย์เชดิแอก กล่าวว่า
"คุณจะหลับง่ายที่สุด ตอนที่อุณหภูมิร่างกายคุณเปลี่ยนจากอุ่นจัดเป็นเย็นจัดค่อนข้าง(เร็ว)" แต่หลังการออกกำลังกายตอน 4 ทุ่ม ก็ไปนอนนู่นเลย ตี 2-ตี 4

แก้ไขโดย
ออกกำลังกายในตอนเช้า เพื่อให้คุณมีพลังงานตลอดวันและหลับลึก ซึ่งจะทำให้คุณพักผ่อนได้เต็มอิ่มอย่างรวดเร็ว ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น พอๆ กับยานอนหลับเลยล่ะ



จบไปแล้วสำหรับ "นิทาน นิทรา" หนุ่มๆ คงหลับสบาย สุขภาพดีขึ้นนะ


เครดิตจาก : http://www.dek-d.com/content/boy/16837/กาลครั้งหนึ่งนอนมาแล้ว.htm <พี่มิ้งค์>

Read More

โรคจิตกับชีวิตเด็กหอ

เราคงเคยดูภาพยนตร์และละครกันมาหลายต่อหลายเรื่อง จำได้มั้ยว่า บางครั้งก็มีฉากคนโรคจิตขโมยเสื้อผ้าชุดชั้นใน มีโทรศัพท์สายแปลกๆ โทร.มาก่อกวน มีของหาย มีเสียงประหลาด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ มีโอกาสเกิดขึ้นกับเรา "ชาวหอ" มาดูกันดีกว่าว่า มีเรื่องอะไรแปลกๆ ไม่ชอบมาพากลที่ต้องระวังไว้บ้าง






มันมากับความมืด

ยามวิกาล วิเวกวังเวง แบบนี้แหละ ที่โรคจิตจะตื่นตัวออกมาหาเหยื่อ หากน้องๆ กลับดึก อาจจะรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมองจากสายตาสักคู่ อย่าเพิ่งคิดถึงผีสาง เพราะที่จริงแล้ว คนตัวเป็นๆ นี่แหละที่น่ากลัวกว่าผี
วิธีรับมือ >> หากต้องกลับดึก ไม่ควรเดินทางคนเดียว



มันมากับโทรศัพท์

เสียงโทรศัพท์ในห้องพักดังทีไร อย่าคิดว่าคนที่อยู่ปลายสายจะเป็นคนปกติเสมอไป เพราะน้องๆ อาจจะพบว่ามีคนโทร.ปลุกตอนตี 5 ทุกวันด้วยการสุ่มเบอร์ห้อง หรือมีคนโทร.มาเซ็กส์โฟนกลางดึก หรือมีคนโทร.มาโชว์มุกเสี่ยวก่อนนอน เป็นต้น
วิธีรับมือ >> แจ้งเจ้าของหอพัก, โรคจิตกลับไปบ้าง



มันมากับอินเทอร์เน็ต

บางครั้งการอยู่หอก็เหงาๆ ทำให้เราหาเพื่อนคุยไปเรื่อยๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และนี่แหละ ที่อาจจะนำพาโรคจิตมาสู่เราได้ เมื่อบังเอิญไปเจอคนเหงาเหมือนกัน การเล่น MSN น้องๆ อาจจะเจอคนแปลกๆ ที่มีวิธีการหลากหลายในการชวนเราคุย หรือบางครั้ง เราอาจจะแชทไปเจอคนที่พักหอพักเดียวกัน หรือเรียนที่เดียวกันก็ได้ อย่าเพิ่งเหมาว่าเป็นบุพเพสันนิวาส ดูให้แน่ใจเสียก่อนว่าพอจะคบหากันได้มั้ย
วิธีรับมือ >> ต้องระวังอย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่อาจจะทำให้อีกฝ่ายตามตัวเราเจอได้







โรคจิตกับชีวิตเด็กหอ มันไต่มาตามราวตากผ้า

โจรหอพักอาจเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย หยิบฉวยแต่ของชิ้นเล็กตั้งแต่ชุดชั้นใน เสื้อผ้า รองเท้า เป็นต้น แถมบ่อยครั้งที่ของใช้ของเราไปปรากฏตัวตามตลาดมือสอง น้องๆ อาจจะไม่เคยเจอตลาดมือสองขายชุดชั้นใน มีจริงนะคะ คนเหล่านี้ อาจจะไม่ใช่โรคจิตเสมอไป และแน่นอนว่าไม่ได้จ้องขโมยเฉพาะชุดชั้นในแน่ๆ
วิธีรับมือ >> เลือกหอพักที่ตากผ้าได้ปลอดภัย เช่น มีเหล็กดัดกั้น



มันมาตามช่องลม

น้องๆ จำได้มั้ยคะ คลิปหลุดต่างๆ นาๆ ที่เป็นข่าวกันนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากการถูกลักลอบแอบถ่ายนี่แหละ โดยเฉพาะชีวิตหอพัก ที่มักอยู่กันเป็นห้องติดๆ กัน หรือเป็นตึกที่หันหน้าชนกัน ไม่ว่าจะหน้าต่าง ระเบียง ช่องลมห้องน้ำ เราก็มีสิทธิ์ถูกล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวได้
วิธีรับมือ >> มองซ้ายมองขวาและช่างสังเกตบ้าง




ดังนั้น เราควรระมัดระวังตัวให้ดี ไม่เพียงเฉพาะสาวๆ แต่หนุ่มๆ เองก็อาจตกเป็นเหยื่อได้ เพราะคนเหล่านี้ไม่เพียงอยากรู้อยากเห็นและสอดส่องชีวิตส่วนตัวเอาไปสนองความต้องการตนเองเท่านั้น แต่อาจใหญ่โตไปถึงขบวนการทางธรุกิจผิดกฎหมายอีกด้วย น้องๆ คนไหนที่พบเจอพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของคนโรคจิต ก็ช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้สังคมได้นะคะ จะได้อยู่กันอย่างปลอดภัย ส่วนน้องๆ ที่ยังไม่เคยอยู่หอ ไม่ต้องกลัวนะคะ เพียงเราเลือกหอพักที่ดีอย่่างที่เคยแนะนำไปแล้วล่ะก็ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะ ^^


เครดิตจาก : http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16800/โรคจิตกับชีวิตเด็กหอ.htm <พี่จูน>

Read More

2552-08-21

ชื่อสถานที่แปลก ๆ ขำ ๆ สนุก ๆ ในเมืองไทย555++

ช่างตั้งกันจริงๆน้อ คนไทย 555




ถ้าให้เดา ที่นี่อาจเป็นที่พวกคุณชายทั้งหลายไม่ชอบมากที่สุด ทำไมน่ะหรอ ?? ดูชื่อหน้าผาสิ เสี่ยวซะขนาดนั้น ว่ามะๆๆ กลัวกันมั่งปะคุณผู้ชายทั้งหลาย อิอิ ^^




กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด อยากจะกรี๊ดเป็นภาษาบัลแกเรียเสียจริง ไม่คิดว่าจะมีชื่อหมู่บ้านที่น่าอยู่อะไรเช่นนี้ 555 ใครอยากลองโดน......ก็ลองไปสัมผัสบรรยากาศดูนะครับ คริๆ (ล้อเล่นนะ ขำๆ คริๆ) ข้างบนไม่เท่าไหร่นะ อ.กันทรลักษณ์เออ โอเค แต่ว่าข้างล่างนี่สิ...




ไม่ไหวจะเคลียร์นะจ๊ะ ขอบอก.... ส่วนภาพนี้ ถ้าอ่านดีดีก็อ่านว่า"เลียบ-นะ-ที"ใช่ปะ ?? แต่ถ้าโรคจิตหรือช่างคิดเสียจริงมันอ่าน... มันก็จะอ่านว่า..."เลีย-บน-ที" !!! ดูมันๆ




อันนี้ก็...จะประกาศทำไมมิทราบ เออรู้แล้วว่ามีกะตัง แหม๊ ดูตั้งเข้าสิ....- -*




หมู่บ้านนี้ถ้าอยู่แล้วอาจ"แห้ว"ได้ เพราะชื่อนี่มิมงคลเอาเสียเลยนะจ๊ะ โถๆๆ ตั้งไปได้"บ.ท่าจะแห้ว" สงสารคนอยู่ชะมัด 5555++(ล้อเล่นน่า ขำๆ)




โอ่ยยย เกิดอะไรขึ้นกับซอยนี้เนี่ยยยย อันนี้ที่หัวหินนะ ไปเจอมา ไม่ไหวอีกแหละ "ซอยแพร่พันธุ์" อุ๊ยตาย ! ชะนีตาลุกกันแถวเลย อิอิ (ล้อเล่นนะจ๊ะ ^^)




ป๊าดดดดดดดดดดดดด ชื่อ ช่างตั้งกันจริง เชื่อเขาเลย ดูสิคร้าบบบ หนึ่ง - เฮ้ย ! เอ็งจะไปไหนวะ ? สอง - เออ ข้าไปบ้านน้ำออกรู... รู้สึกดีขึ้นไหมจ๊ะ น้ำออกรูเนี่ยยยยยยยยย - -/* (ล้อเล่นนะ ขำๆ มากไปๆ 555++)




ประวัติของที่นี่จะเกี่ยวกับผู้ชาย ดูสิเธอ... " แก่งคับพวง " ป๊าดดดดดดดดดดดด อยู่ที่ไหน ใครก็ได้บอกที จะไปเยี่ยมเยียนยลยิน ให้เป็นบุญตาซะหน่อย - -* คริๆ




ท่าทงจะชอบดงบังชินกิ กันทั้งหมูบ้าน ก็เลยมีชื่อหมู่บ้านแบบนี้ให้เห็นกันที่เมืองไทย ไม่แน่นะที่นี่อาจเป็นศูนย์รวมแฟนคลับดงบังชินกิในภาคอีสานก็ได้ ใครจะไปรู้ คริๆ ?? ^^




คนไทย หนอ คนไทย ช่างคิดได้เลิศประเสริฐอะไรเช่นนี้นะ... ว่าไหม ??





เครดิต : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1419275

Read More

10อันดับคนที่อัจฉริยะที่สุดในโลก(เท่าที่ยังมีชีวิต)




-------->10อันดับคนที่อัจฉริยะที่สุดในโลก(เท่าที่ยังมีชีวิต)





10. Elaina Smith: ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า " ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว"






9. Willie Mosconi: เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา "Mr. Pocket Billiards" (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia,Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool





8. Fabiano Luigi Caruana: แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี





7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์
หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในโลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17 ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า "ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ" อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก





6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา
Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า "แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า" และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่





5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ
ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne's Fitzroy Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป





4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)
Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า"At the age of 3″ และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมาเนีย





3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า "เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก" เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน





2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจในระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ…มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ซะทีนั่นเอง





1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี "IQ สูงที่สุดในโลก เท่าที่ยังมีชีวิต" Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210 คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 – 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน









เครดิตจาก http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1404787

Read More